เมนู

พรรณนาคาถาว่า ขยํ วิราคํ



พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสสัจจวจนะอย่างนี้แล้ว บัดนี้จึงทรงเริ่ม
ตรัสว่า ขยํ วิราคํ เป็นต้น. ในคำนั้น เพราะเหตุที่กิเลสทั้งหลายมีราคะ
เป็นคนหมดสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งพระนิพพาน หรือเพราะเหตุที่พระนิพพาน
นั้น พอกิเลสเหล่านั้นสิ้นไป โดยดับไม่เกิด และเพราะเหตุที่พระนิพพานนั้น
ไม่ประกอบด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น โดยความประจวบ และโดยอารมณ์หรือ
เพราะเหตุที่เมื่อบุคคลทำให้แจ้งพระนิพพานนั้นแล้ว กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็น
ต้น ก็คลายออกไปสิ้นเชิงปราศจากไป ถูกกำจัดไป ฉะนั้นพระนิพพาน ท่าน
จึงเรียกว่า ขยะ ว่า วิราคะ แต่เพราะเหตุที่พระนิพพานนั้น ความเกิดไม่
ปรากฏ ความเสื่อมไม่ปรากฏ ความที่จิตแปรปรวนไม่มี ฉะนั้น พระนิพ-
พานนั้น ท่านจึงทำว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เรียกว่า อมตะ แต่ [ในที่นี้]
ท่านเรียกว่า ประณีต เพราะอรรถว่า สูงสุด และเพราะอรรถว่า ไม่อิ่ม.
บทว่า ยทชฺฌคา ได้แก่ บรรลุ พบ ได้กระทำให้แจ้งด้วยกำลังญาณ
ของตน ซึ่งพระนิพพานนั้น . บทว่า สกฺยมุนี ได้แก่ ชื่อว่า ศากยะเพราะ
ทรงเป็นโอรสของสกุลศากยะ ชื่อว่า มุนี เพราะประกอบด้วย โมเนยยธรรม
มุนีคือศากยะ ชื่อว่า พระศากยมุนี. บทว่า สมาหิโต ได้แก่ ผู้มีจิตตั้ง
มั่นแล้วด้วยสมาธิเป็นอริยมรรค. บทว่า น เตน ธมฺเมน สมตฺถิ
กิญฺจิ
ความว่า ธรรมชาติไร ๆ ที่เสมอด้วยธรรมที่พระศากยมุนีทรงบรรลุ
แล้ว มีนามว่า ขยะ เป็นต้นนั้น ไม่มี. เพราะฉะนั้น แม้ในพระสูตรอื่นพระผู้
มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้เป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายไม่ว่าเป็น
สังขตะหรืออสังขตะ เพียงใด วิราคธรรม ท่านกล่าวว่าเป็นยอดของธรรม
เหล่านั้น.